Please use this identifier to cite or link to this item: https://archive.cm.mahidol.ac.th/handle/123456789/2421
Full metadata record
DC FieldValueLanguage
eperson.contributor.advisorพันธ์ณภัทร์ เศวตภาณวงศ์-
dc.contributor.authorปิยารัตน์ มากลั่น-
dc.date.accessioned2021-03-23T09:50:06Z-
dc.date.available2021-03-23T09:50:06Z-
dc.date.issued2018-05-21-
dc.identifierTP MS.070 2560-
dc.identifier.citation2560-
dc.identifier.urihttps://archive.cm.mahidol.ac.th/handle/123456789/2421-
dc.description.abstractธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2559 (มกราคม – ธันวาคม 2559) มีเบี้ยประกันภัยรับตรงทั้งสิ้น 209,743 ล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 0.26 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าสิ้นปี 2560 ธุรกิจประกันวินาศภัยจะขยายตัวร้อยละ 1.63 (คปภ., 2560) จากการส่งเสริม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยให้สอดคล้องกับความต้องการและความเสี่ยงของประชาชนทุกระดับ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความ หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงการประกันวินาศภัยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของ ผู้บริโภคที่มีการใช้สื่อเทคโนโลยีมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภคมีการใช้สื่อดิจิตอลในการสำรวจราคาและรูปแบบประกันที่ตรงกับพฤติกรรม และความสนใจของตนเอง ประกอบกับความต้องการรับบริการแบบ เอาใจใส่ใกล้ชิดและความต้องการของลูกค้าแต่ละคนที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมและ ปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ในการดำเนินงาน โดยนำดิจิตอลมาสร้างนวัตกรรมทาง ธุรกิจรูปแบบใหม่ ทำให้เกิดการปฏิรูปแนวทางธุรกิจใหม่จนสามารถแซงหน้าธุรกิจแบบดั้งเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า มากขึ้น ส่งผลให้เกิดข้อได้เปรียบทาง การแข่งขันด้วยการเป็นผู้นำในการนำเสนอและฉีกรูปแบบการให้บริการแบบเก่ามาประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีให้เข้ากับรูปแบบ และการใช้ชีวิตของลูกค้าในยุคดิจิตอลมากขึ้น โดยการวิจัยครั้งนี้ ได้มีการวางแผนการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเพื่อการสัมภาษณ์ คือ ผู้บริหาร องค์กรธุรกิจประกันภัย จำนวน 12 คน (1) ประชากรวิจัยและกลุ่มตัวอย่างสำหรับงานวิจัยคุณภาพเชิงลึก ประกอบด้วย ผู้บริหารที่มีความรู้ ความเข้าใจธุรกิจประกันภัยเป็นอย่างดีและมีอำนาจในการขับเคลื่อนองค์กรรวมทั้งเป็นผู้บริหารที่มีความรู้ ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีและ ดิจิตอล โดยทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) (2) เครื่องมือ ชี้วัดได้แก่ แบบสัมภาษณ์ปลายเปิด (3) การเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ ในส่วนของแบบสัมภาษณ์ และการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ จาก การศึกษา ค้นคว้าเอกสาร ตำรา ทฤษฎี และแนวคิดต่างๆ รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (4) การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลปฐมภูมิที่ได้รับจาก การสัมภาษณ์และข้อมูลทุติยภูมิที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิตอล โดยการจัดลำดับความสำคัญ ของ กลยุทธ์และมีการสื่อสารให้พนักงานเกิดทัศนะคติเชิงบวกตอบรับต่อการเปลี่ยนแปลงในดิจิตอล และเตรียมความพร้อม ในด้านการลงทุน ในเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจประกันภัยดิจิตอล ตลอดจนสามารถ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนอง ความต้องการของลูกค้าและสามารถปิดการขายบนแพลตฟอร์มดิจิตอลได้-
dc.publisherมหาวิทยาลัยมหิดล-
dc.subjectการจัดการและกลยุทธ์-
dc.subjectความสามารถทางการแข่งขัน-
dc.subjectธุรกิจประกันภัย-
dc.titleการศึกษาการนำระบบดิจิตอลมาใช้ในธุรกิจประกันภัยเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน = THE APPLICATION OF DIGITAL TECHNOLOGY IN THE NON-LIFE INSURANCE BUSINESS-
dc.typeThematic Paper-
Appears in Collections:Thematic Paper

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
TP MS.070 2560.pdf1.54 MBAdobe PDFThumbnail
View/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.