ผลตอบแทนของเครื่องมือทางเทคนิค Exponential Moving Average (EMA) , Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence-Divergence (MACD) เปรียบเทียบกับการซื้อแล้วถือ

Abstract

งานวิจัยนี้ศึกษาเครื่องมือทางเทคนิค 6 วิธี ได้แก่ Exponential Moving Average (EMA) , Relative Strength Index (RSI) และ Moving Average Convergence-Divergence (MACD) เพื่อเปรียบเทียบกับกลยุทธ์การซื้อแล้วถือ (Buy and Hold Strategy) โดยข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลของราคาการซื้อขายของเงินบาทเมื่อเทียบกับ 3 สกุลเงินได้แก่ ดอลลาร์ สหรัฐฯ (USD) , หยวน (CNY) และ เยน (JPY) การทดสอบใช้ราคาปิดรายวันของทั้ง 3 สกุลเงิน ตั้งแต่วันที3 1 มกราคม 2548-31 พฤษภาคม 2563 และหาค่าพารามิเตอร์ที่ให้ผลตอบแทนมากที3สุดในแต่ละเครื่องมือทางเทคนิคด้วยวิธี Training/Trading Analysis แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ ช่วงแรก 1 มกราคม 2548-31 ธันวาคม 2555 และช่วงที่สอง 1 มกราคม 2556-31 พฤษภาคม 2563 ผลการศึกษาพบว่า การใช้พารามิเตอร์ที่เหมาะสมนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการใช้พารามิเตอร์ มาตรฐานในบางเครื่องมือทางเทคนิค ในแต่ละสกุลเงิน เช่นเครื่องมือ EMA และ MACD ในการซื้อขายสกุลเงิน USD ที3สามารถ สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าการใช้พารามิเตอร์มาตรฐาน เช่นเดียวกับเครื่องมือ RSI ในสกุลเงิน JPY แต่ในบางครั้งการใช้ เครื่องมือทางเทคนิคด้วยพารามิเตอร์มาตรฐานก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสม เพราะว่า ค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมเหมาะกับช่วงเวลาที่นํามาทดสอบเพียงช่วงเวลาหนึ่งๆ ไม่สามารถใช้ได้ในทุกช่วงเวลาได้ และผลการศึกษายังพบอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อแล้วถือ ในการซื้อขายด้วยเครื่องมือทางเทคนิคในสกุล เงิน JPY ไม่มีเครื่องมือใดที่สามารถทํากําไรได้สูงกว่าการซื้อแล้วถือ เนื่องจากการซื้อแล้วถือในสกุลเงิน JPY สามารถสร้าง ผลตอบแทนได้ถึง 23.23% และสำหรับสกลุเงิน USD เครื่องมือ EMA และ MACD สามารถสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการซื้อ แล้วถือ 176.39% และ 226.62% ตามลําดับ และการใช้เครื่องมือทางเทคนิคซื้อขายเงินตราต่างประเทศสกุลเงิน CNY สามารถ สร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการซื้อถือได้มากถึง 100.01% และ 35.80% จากการซื้อขายด้วยเครื่องมือ EMA และ MACD ตามลำดับ