Please use this identifier to cite or link to this item: https://archive.cm.mahidol.ac.th/handle/123456789/4699
Title: ปัจจัยที่กำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย โดยวิธี Fixed Effect และวิธี Panel GMM
Authors: กนกนาฏ, กาฬภักดี
Keywords: การเงิน
โครงสร้างเงินทุน
โครงสร้างเงินทุน
บริษัทที่จดทะเบียนในไทย
Issue Date: 29-Jun-2022
Publisher: มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract: งานวิจัยนี้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเงินทุนส่วนหนี้สิน (leverage) และระดับความเร็วการปรับตัวเข้าสู่ โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึง 2563 จำนวน 150 บริษัท ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเงินทุน ได้แก่ ขนาดของบริษัท วัดโดยค่าลอการทึมธรรมชาติของรายได้รวม, ความสามารถในการเติบโตของบริษัท วัดโดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้น, ความสามารถในการทำกำไร วัดโดยกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่ำเสื่อมต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย, อัตราสภาพคล่องของบริษัท วัดโดยสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน และผลประโยชน์ ทางภาษีที่ไม่ได้เกิดจากการก่อหนี้ วัดโดยค่ำเสื่อมราคาต่อสินทรัพย์ทั้งหมด โดยใช้ด้วยตัวแปรที่กำหนดข้างต้นมาทดสอบหหาความสัมพันธ์ด้วยเทคนิค Fixed Effect และ Panel GMM เพื่อหาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระดับหนี้สิน (leverage) และระดับความเร็วในการรับตัวเข้าสู่โครงสร้างเงินทุนเป้าหมาย(Optimal Capital Structure) ผลการศึกษาพบว่าบริษัทที่มีขนาดใหญ่มีรายได้จากผลประกอบการสูงมีความสามารถถในการก่อหนี้ได้มากกว่าบริษัทขนาด เล็ก เพราะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายกว่า มักจะได้รับเงื่อนไขการกู้ยืมที่ดีกว้าบริษัทขนาดเล็ก หากบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคตสูงบริษัทจะมีความต้องการใช้เงินทุนที่สูงขึ้นจึงต้องหาเงินมาลงทุนจากแหล่งเงินทุนจากที่ต่างๆ มากขึ้นทำ ให้ระดับการก่อหนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในส่วนของความสามารถทำกำไรและสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท มีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับระดับหนี้สิน กล่าวคือถ้าบริษัทมีกำไรสูง และก็ไม่จำ เป็นต้องหาแหล่งเงินทุนจากภายนอก เช่นเดียวกันกับบริษัทที่มีสภาพคล่องสูง บริษัทจะพิจารณาแหล่งเงินทุนภายในก่อนหากไม่ เพียงพอบริษัทจึงก่อหนี้จากแหล่งเงินทุนภายนอก บริษัทจะมีภาระทางดอกเบี้ยจ่ายต่อเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืม แต่บริษัทก็สามารถนำ ดอกเบี้ยจ่ายมาใช้คำนวณค่ำใช้จ่ายเพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านนิติบุคคล (Tax shield) ตามทฤษฎีการจัดหาเงินทุนตามลำ ดับขั้น (Pecking Order Theory) ผลการศึกษาระดับความเร็วในการปรับตัวเข้าสู่โครงสร้างเงินทุนเป้าหมาย (Optimal Capital Structure) มีค่ำสัมประสิทธิ์ที่ ประเมินได้อยู่ที่ 0.673 สะท้อนว่าบริษัทที่จดทะเบียนในไทยมีระดับหนี้ในระดับที่เหมาะสม (Optimal Capital Structure) คือประโยชน์สุทธิจากการมีหนี้ (ผลดีจาการประหยัดภาษีลบด้วยผลเสียจากต้นทุนล้มละลายหรือต้นทุนความไม่มั่นคงทางการเงิน) อันจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของกิจการ (WACC) ต่ำที่สุด ด้วยอัตราความเร็วในการปรับตัวสู่โครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสมอยู่ที่ 32.7% ต่อปีงานวิจัย Andre Getzmann (2012) บริษัทในเอเชียมีการปรับตัวด้วยความเร็วที่ 45% ต่อปี แสดงว่าบริษัทไทยมีการปรับโครงสร้างเงินทุนช้ากว่าบริษัทอื่นๆในเอเชีย
Description: 45 แผ่น
URI: https://archive.cm.mahidol.ac.th/handle/123456789/4699
Appears in Collections:Thematic Paper

Files in This Item:
File Description SizeFormat 
TP FM.017 2565.pdf1.4 MBAdobe PDFThumbnail
View/Open


Items in DSpace are protected by copyright, with all rights reserved, unless otherwise indicated.