ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและความภักดีของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

Abstract

งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจของผู้บริโภค (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้บริโภค (3) เพื่อศึกษาว่ามีปัจจัยใดบ้าง ที่ส่งผลต่อระดับความพึงพอใจ ของผู้บริโภค (4)เพื่อศึกษาว่ามีปัจจัยใดบ้าง ที่ส่งผลต่อความภักดี ของผู้บริโภค (5)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและความภักดีของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งหมด 400 คน ด้วยวิธีการใช้แบบสอบถามออนไลน์ (Online Questionnaire) โดยใช้ Google Form เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยพบว่าในด้านประชากรศาสตร์ที่ส่งผลต่อความพึงพอใจได้แก่ปัจจัยด้านอาชีพที่แตกต่างกันส่งผลต่อระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยอาชีพ ธุรกิจส่วนตัว ให้ความสำคัญในเรื่องการมีประสบการณ์ในด้านบวกกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่บริโภคอยู่มากกว่ากลุ่มที่มีอาชีพอื่นๆส่วนปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ไม่ส่งผลต่อความพึงพอใจได้แก่ เพศ สถานภาพ อายุ ระดับ การศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ในส่วนที่ส่งผลต่อความภักดีได้แก่ สถานภาพที่แตกต่างกันส่งผลต่อความภักดี ซึ่ง สถานภาพสมรสให้ความสาคัญในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารครั้งต่อไป โดยจะเลือก ซื้อยี่ห้อเดิมมากกว่าสถานภาพโสด และปัจจัยด้านอายุที่แตกต่างกันส่งผลต่อความภักดี ซึ่้งพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 31-40ปี ให้ความสำคัญในเรื่องการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อเดิมซ้าอีกในอนาคตอย่างต่อเนื่อง มากกว่าอายุ 21-30 ปี และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อเดิมถึงแม้จะมีการปรับราคาสูงขึ้น มากกว่าอายุ 31-40 ปี ส่วนปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ไม่ส่งผลต่อความภักดี ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ในด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจโดยพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วง สถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มากที่สุดคือ ปัจจัยด้านการรับรู้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพ (Perceived Benefit)ซึ่งมีอิทธิพลคิดเป็นร้อยละ 39.70 ปัจจัยที่ส่งผล รองลงมาคือปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์(Product)ซึ่งมีอิทธิพลคิดเป็นร้อยละ 20.40 ปัจจัยที่ส่งผลเป็ นอันดับสามคือปัจจัยด้านการสื่อสารโดยผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer)คิดเป็นร้อยละ16.40 และปัจจัยที่ไม่มีอิทธิพลต่อระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้แก่ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา(Price)ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย(Place)ด้านส่งเสริมทางการตลาด(Promotion) และปัจจัยด้านการสื่อสารแบบปากต่อปาก(WOM) ในด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีโดยพบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับความภักดีของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มากที่สุดคือ ปัจจัยด้านความพึงพอใจ (Satisfaction)ซึ่งมีอิทธิพลคิดเป็นร้อยละ53.30 ปัจจัยที่ส่งผลรองลงมาคือปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านส่งเสริมทางการตลาด(Promotion)ซ่งึ มีอิทธิพลคิดเป็นร้อยละ20.30 ปัจจัยที่ส่งผลเป็นอันดับสามคือปัจจัยด้านการสื่อสารแบบปากต่อปาก(WOM)ซึ่งมีอิทธิพลร้อยล่ะ12.60 และปัจจัยที่ไม่มีอิทธิพล ต่อระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในช่วงสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้แก่ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์(Product) ด้านราคา(Price) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย(Place) และปัจจัยด้านการสื่อสารโดยผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด(Influencer)